Friday, 18 April 2025
แจ็ค รัสเซล

โลกกำลังเดินทางสู่...ขาลง เพื่อจัดระเบียบมนุษย์ ด้วยผู้คนไร้ศีล ไร้สามัญสำนึก สนับสนุนสิ่งเลว ๆ เหยียบย่ำสิ่งดี ๆ

(1 เม.ย. 68) สังคมไทยเปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง เมื่อสถานศึกษาไม่ได้ช่วยให้คนไทยฉลาด คนจบการศึกษาสูง ๆ มาจากเมืองนอกเมืองนาก็ไม่ได้หมายความว่าจะมี “สามัญสำนึก” หรือ “คิดเป็น” ผู้คนจำนวนมากยังแยกแยะดีชั่วไม่ออก มองหาแต่ “ความสุขสบายส่วนตัว” โดยไม่คิดโอบกอดสังคมส่วนรวม 

หนำซ้ำผู้คนจำนวนไม่น้อยยังเคารพคนที่เปลือก นับถือเศรษฐีโดยไม่สนที่มาของเงิน กอดคอยิ้มหวานกับเหล่าอาชญากรเพียงเพราะเป็นคนที่ร่ำรวย แสดงความนอบน้อมต่อผู้มีอิทธิพลแม้เบื้องหลังจะใหญ่โตมาจากสิ่งเทา ๆ ก็ถึงเวลาที่โลกต้องออกแรงจัดระเบียบมนุษย์กันสักครั้ง

ความรุนแรงของธรรมชาตินับจากนี้ไปจะไม่มีคำว่า “เบา” 

เมื่อพลังงานเลว ๆ ที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ แผ่กระจายปกคลุมท้องฟ้า จนดำมืดไปด้วยอากาศพิษ โลกก็จำต้องออกแรงขยับเขยื้อนดูดกลืนสิ่งสกปรกให้หายไปจากแผ่นดิน เพื่อความสว่างไสวของ “ความดีงาม” เกิดขึ้นอีกคราว และดำรงอยู่อย่าง “ยั่งยืน” เพื่อมวลมนุษยชาติที่ตั้งมั่นในศีลสืบไป 

ผู้คนจำนวนมาก ไร้ความเชื่อเรื่องการ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ต่างไม่เกรงกลัวต่อบาป โดยเฉพาะบาปที่มาจากการทำร้ายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เอาเปรียบสังคมที่ร่วมอาศัย รวมถึงไม่ดูแลใส่ใจธรรมชาติที่เกิดและเติบโตมาจากโลกใบเดียวที่เรามี หมักหมมจนเหม็นเน่า กลายเป็นขยะที่มาจาก “พฤติกรรมเลว ๆ ของมนุษย์” ความชั่วช้าที่ถูกปกปิดไว้ จะถูกธรรมชาติช่วยเผยอเปิดออกให้ผู้คนที่ยังหลับใหล โง่งมงายแต่ของใหม่ ยินดีแต่สิ่งที่ตนเองได้ประโยชน์ ได้รับรู้จนกระจ่างต่อหัวใจ 

เมื่อคำเตือนจากฟ้า คำบัญชาจากสวรรค์ “ส่งจดหมายเตือนผู้คน” ด้วยการ “สั่นสะเทือนแผ่นดิน” ใครที่คิดได้ ตระหนัก ยอมรับ และกล้าหาญที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง “เพื่อโลกเพื่อสังคม” ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก็ถือว่าเป็น “มนุษย์หัวใจงาม” ส่วนคนที่ขนาด “บาปมนุษย์” ไล่ล่ามาถึงปลายจมูก ทั้งน้ำท่วม โรคระบาด ฟ้าถล่ม แผ่นดินสะเทือน ก็ยังมองเป็นเรื่องขำขัน ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ยังเดินหน้าให้ราคาสนับสนุน “มนุษย์ที่เลว ๆ บนผืนแผ่นดินไทย” ก็คงต้องปล่อยไปตามกรรม 

โปรดจำไว้ว่า ธรรมชาติมีไว้ให้ผู้คนหวงแหน รักษา มิใช่การอยู่เพื่อเอาชนะ หรือทำลาย

คน..ก็เช่นกัน เมื่อมีบุญได้เกิดเป็นคนก็ควรกล้าหาญปกป้องคนดี มิใช่การหลับหูหลับตาสนับสนุนคนเลว ๆ ที่ทำร้ายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และเพื่อนพ้องประชาชน 

‘ประเทศไทย’ อุดมไปด้วย ‘นักการเมืองห่วย’ สะท้อน ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศยังเบาปัญญา

(25 มี.ค. 68) เราได้นักการเมืองแบบไหน นั่นเพราะเรามีประชาชนที่มีคุณภาพในแบบนั้น

ประโยคเด็ดที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความจริงของสังคมก็คือ ประเทศใดมีนักการเมืองแบบไหนเข้ามาบริหารประเทศ นั่นก็เพราะเรามีประชาชนที่ส่วนใหญ่ ๆ เป็นคนแบบนั้นเลือกเข้ามา ถ้าเรามีรัฐบาลที่ทั้งโง่ เซ่อ และทุจริตคอรัปชั่นเป็นอาชีพ ก็เพราะเรามีประชาชนที่ตาถั่ว อ่านนักการเมืองไม่ออก มัวแต่หลงเชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง เป็นคนเปิดทางให้เข้ามา ที่ประเทศชาติต้องอับอายขายขี้หน้าชาวโลก และสุ่มเสี่ยงต่อภัยอันตรายทุกด้าน ก็มาจากน้ำมือของ “คนเลือกนักการเมือง” ทั้งสิ้น 

ถ้าประชาชนมีสติปัญญาที่ฉลาดเฉลียวจริง พรรคการเมืองที่กระทำแต่เรื่องแย่ ๆ กับประเทศไทยคงไม่ได้ผลคะแนนที่สูง เราก็คงไม่ได้ “นายกหุ่นเชิด” ที่อดีตมีข่าวเรื่อง “โกงข้อสอบ” แถมยังมาจาก “ตระกูลหนีคดี” และเราคงไม่ได้รัฐบาลที่ทำงานไม่เป็น ปัญหาของประเทศไทยที่มี “นักการเมืองเลว ๆ” มากกว่า “นักการเมืองน้ำดี” จึงอยู่ที่ “คนเลือก” ไม่ใช่อยู่ที่ “ตัวนักการเมือง” 

ทุกประเทศ ถ้า “คนเลือก” เป็นคนที่ขาดความรู้ ไม่หัดลงลึก ไม่ติดตามข่าวสารบ้านเมือง ต่อให้เรามีนักการเมืองที่ดีกับประเทศจริง ๆ “เหล่าประชาชนคนโง่เขลา” ก็จะดูไม่ออกอยู่ดี 

เพราะ “ประชาชนผู้เบาปัญญา” ชื่อก็บอกอยู่แล้ว จะกาเลือกตามกระแส เลือกตามสื่อ เลือกตามเพื่อน เลือกตามแฟน เลือกตามน้ำคำที่ปลิ้นปล้อนของนักการเมืองที่ตนเองแอบนิยมชมชอบ เราจึงได้แต่นักการเมืองห่วย ๆ ไร้ประสิทธิภาพ ผลัดเปลี่ยนกันมากระทืบประเทศไทย

คนไทยจำพวก “เลือกส่งเดช” เหล่านี้ ไม่เคยรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนเองเลือกเข้ามา เช่นคนจำนวนไม่น้อยเลือกนักการเมืองจากพรรคที่ตั้งหน้าตั้งตา “ล้มล้างสถาบัน” แถมยังมีกรณีหนีการเกณฑ์ทหาร, ใช้บุหรี่ไฟฟ้า, เมาสุรา, แอบเคลมของบริจาค, มีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศ, เอาเวลาที่ต้องเข้าสภาไปทำงานส่วนตัว, คุกคามประชาชน, ใช้ข้อมูลมั่วในการอภิปราย, แสดงความโง่ในการนับเลข และผลาญเงินภาษีพากันบินไปดูงานต่างประเทศ ถามว่า “นักการเมืองชั้นเลวเหล่านี้” มีประโยชน์ตรงไหนกับชาติบ้านเมือง และประชาชนคนไทย? 

คำตอบคือ..ไม่มี 

แล้วคนที่พากันเลือกสิ่งที่เลว ๆ จำพวกนี้เข้ามา จะมีประโยชน์กับสังคมไทยได้อย่างไร?

หนึ่งในความเลวทรามสกปรกของนักการเมืองรุ่นใหม่ คือการสร้าง “ข่าวปลอม” (Fake News) ออกสู่สังคม

(18 มี.ค. 68) หากย้อนกลับไป 30 - 40 ปีก่อน สมัยที่ยังไม่มีโซเชียลมีเดีย นักการเมืองถ้าจะสร้าง “ข่าวปลอม” หรือ “Fake News” เพื่อมาดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม ก็จะอาศัยช่องทางสื่อต่าง ๆ ที่พรรคการเมืองของตนเองสนิทสนม หรือแอบมีส่วนในการ “เป็นเจ้าของ” ทั้งสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ จะใช้ช่องทางที่ตนเองควบคุมบังคับได้เหล่านี้นำเสนอข่าวเท็จ ประเด็น และเรื่องราวที่ไม่จริงของฝ่ายตรงข้ามมาตีแผ่ออกสู่สังคม เพื่อให้ผู้คนเข้าใจผิด เกลียดชัง จนลดความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้ามลง 

เหยื่อที่เจ็บปวด เสียหาย ถ้าไม่แข็งแรงมากพอก็จะเดินก้มหน้าออกจาก “สนามการเมือง” ไปทันที แต่ที่เป็นขาใหญ่จริง ๆ ก็จะไม่ปล่อยให้ใครมาเหยียบหัวสิงห์ได้ง่าย ๆ ถ้าสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องถูกใส่ร้ายป้ายความผิด ก็มักจะเล่นกลับแรง ๆ ซึ่งไม่ใช่แค่การฟ้องร้องดำเนินคดีอย่างที่ “คนยุคนี้” นิยมเลือกมาจัดการคู่กรณี 

แต่คือการใช้ “ลูกปืน” ย่นเวลาทุกอย่างให้จบง่ายขึ้น 

นักการเมืองยุคเก่า แม้จะไม่บริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ดี ๆ ชั่ว ๆ ความรักในชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ยังมีในจำนวนที่มากกว่านักการเมืองยุคสมัยนี้ และคำว่า “คนใจนักเลง” ยังใช้ได้กับนักการเมืองรุ่นเก่าจำนวนมาก เรียกว่าขอกันได้ แค่แสดงความนอบน้อม นับถือ รักษาสัจจะ ไม่ข้ามหัว ไม่ตีกิน หรือแอบแทงกันลับ ๆ ด้วยการ “สร้างข่าวปลอม” มาทำให้อีกฝ่ายต้องพังพินาศ ถือเป็นเรื่องที่ “คนรุ่นเก่า” ไม่นิยมทำกัน เพราะเป็นเรื่องของ “สวะ” ทั้งเหม็น และน่ารังเกียจ

“ข่าวปลอม” ยุคสมัยก่อน นาน ๆ จะโผล่มาสักเรื่องหนึ่ง ถ้าสังคมจับได้ไล่ทันก็จะไม่คุ้ม เพราะคนปล่อยข่าว รวมถึงตัวการก็จะไร้ที่ยืน ด้วยเป็นเรื่องที่ไม่ใช่วิถีลูกผู้ชาย ไม่แน่ก็อาจจะไร้ลมหายใจ จึงมักสู้กันแบบลูกผู้ชาย ซึ่งนักการเมืองรุ่นใหม่ที่นิยม “หนีการเกณฑ์ทหาร” ยากที่จะสะกดคำว่า “คนใจนักเลง” เป็น เราจึงมักเห็น “นักการเมืองรุ่นใหม่ขี้หมา” จงใจสร้างข่าวปลอม พอถูกจับได้ก็หายศีรษะไปเงียบ ๆ หนีหน้าไม่มีออกมาขอโทษสังคม หรือสำนึกผิด แล้วก็รอปั้นแต่ง “ข่าวปลอมเรื่องใหม่” มาทำร้ายผู้คนดังเดิม 

ขึ้นชื่อว่าเป็น “นักการเมืองไทย” การที่ไร้ความสามารถ ไร้วิสัยทัศน์ และไร้การเป็นแบบอย่างในทางที่ดีให้สังคมเดินตามก็ดูแย่มากแล้ว แต่การที่วัน ๆ สาละวนอยู่กับการ “คิดข่าวปลอม” เพื่อให้สังคมไทยวนอยู่ในวงจรน้ำเน่า คำว่า “เลวทรามต่ำช้า” ก็ถือว่ายังน้อยเกินไป 

‘พรรคการเมือง’ เก่งแต่หาเสียงผ่านคำพูด ‘ลดเหลื่อมล้ำสร้างความเท่าเทียม’ สุดท้าย! เป็นเพียงวาทะเสนาะหู ถึงเวลากลับไม่กล้าแตะเทวดาชั้น 14

“เราจะสู้เพื่อความเหลื่อมล้ำเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมในสังคม” หนึ่งในคำโฆษณาหลอกต้มผู้คนของพรรคล้มล้างการปกครอง 

วัยรุ่น วัยคะนอง ที่ไม่หัดลงลึกกับเรื่องการเมืองไทย มักทำทุกอย่างตามกระแสสังคม รวมถึงผู้ใหญ่ 'ขี้แพ้' แถม 'คิดไม่เป็น' จำนวนหนึ่ง ที่ฝังหัวตัวเองมาช้านานว่าประเทศไทยมีแต่ความไม่เสมอภาค ไร้อิสระ ถูกกดขี่ และคนจะไม่สามารถจะมีสิทธิ์มีเสียงเท่าคนรวย ผู้คนเหล่านี้มักจะสนับสนุน 'พรรคส้มเน่า' ที่ชูการหาเสียงไว้อย่างแข็งขันว่า เราจะสู้ให้ความเหลื่อมล้ำ และความไม่เท่าเทียม หมดหายไปจากแผ่นดินไทย ประชาชนทุกคนจะต้องมีสิทธิ์มีเสียงเท่าเทียมกัน 

โดยที่การหาเสียงเพื่อเอาใจ 'เหล่าคนบ้องตื้น' เหล่านี้ ส่วนลึกก็หวังพาดผ่านไปกระทบสถาบันเบื้องสูง ดังที่เราจะเห็น 'นักการเมืองสามกีบ' คอยเซาะกร่อน บ่อนทำลาย เพื่อลด 'ความน่าเชื่อถือ' ของสถาบันที่คนไทยเคารพรักมาโดยตลอด คนพวกนี้พยายามทุกวิถีทางผ่านวิธีสกปรก แม้แต่การ 'หลอกใช้เด็กหิวแสง' ให้ไปติดคุก หรือลี้ภัย เพียงเพื่อให้ 'สถาบันอ่อนแอ' ลง ลดต่ำลงมาเทียมประชาชนคนธรรมดา เพื่อโยงเหตุผลการต่อสู้เพื่อความไม่เท่าเทียมให้ดูสมจริง แต่ความเลวร้ายสุดโต่งที่ซ่อนไว้ก็คือการปกครองแบบเดิมจะต้องถูกทำลายลง 

เมื่อแผนชั่วช้าไปไม่ถึงดวงดาว เด็กวัยรุ่น วัยคะนอง ที่เคยอ่อนด้อยในเรื่องการเมือง เริ่มอ่านหนังสือ เริ่มศึกษาความเป็นมาเป็นไป และไม่น้อยก็ลงลึกกับการสอดส่องติดตามดูพฤติกรรมของ 'พรรคการเมืองสีส้มล้มเจ้า' ก็พบว่า เรื่องที่บอกจะสู้เพื่อความเหลื่อมล้ำ ให้สังคมเกิดความเท่าเทียม เป็นเพียง 'เรื่องโกหก' ที่สร้างขึ้นมาไว้ 'หลอกต้มคนโง่แบบตัวเอง' เท่านั้น เพราะกรณีของ 'นักโทษเทวดา' ที่เป็นหัวหน้าตัวจริงของ 'พรรคเผาเมือง' กลับมารับโทษก็จริงแต่ไม่ต้องติดคุกเลยสักวันเดียว แถมยังเหาะเหินไปนอนบนสวรรค์ชั้น 14 ชนิดที่ไม่มีใครกล้าตรวจสอบ แพทย์ ตำรวจ ข้าราชการ ต่างยอมศิโรราบด้วยแพ้อำนาจเงิน และอิทธิพลเทวดา ช่วยกันเข็น 'ผิดให้เป็นถูก' โดยไม่แยแสกระแสสังคม ถือเป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนเกินจะรับได้

กรณีชั้น 14 จึงสะท้อนความเหลื่อมล้ำ ความไม่เท่าเทียมที่ชัดเจนที่สุด ข่าวฉาวนี้ดังไปครึ่งค่อนโลก แต่พรรคการเมืองที่ประกาศก้องว่าข้านี่แหละจะสู้ให้ความเหลื่อมล้ำหมดหายไปจากแผ่นดินไทย กลับไม่มีสักตัวกล้าโผล่มาประจันหน้ากับเทวดา ไม่มีสักตัวที่จะปริปากทักท้วง หรือทัดทานการกระทำที่ตบหน้าคนไทย และเหยียบกระบวนการยุติธรรมไทยจนจมธรณี 

เสียหายต่อหน้าต่อตาหนักขนาดนี้ แต่ 'พรรคส้มสามกีบ' ก็ยังเฉย สยบยอมเป็น 'พรรคขี้ข้านักโทษ' ในคราบ 'คนรุ่นใหม่จอมปลอม' หากินกับเงินเดือนภาษีประชาชนไปวัน ๆ เท่านั้นเอง 

จาก 'คนคลั่งแดง' สู่การ 'ชูสามนิ้วคลั่งส้ม' เปลี่ยนข้างด้วยเหตุผลเดียวในใจคือ 'ไม่เอาสถาบัน'

(4 มี.ค. 68) คุณลองสังเกตคนรอบ ๆ ตัวของคุณดู จะมีจำนวนไม่น้อยที่แต่ก่อนคือคนที่เลือก “พรรคเผาเมือง” หรือพรรคที่เริ่มต้นการ “จาบจ้วงสถาบัน” อยู่เป็นนิจ ถึงกับเคยป่าวประกาศให้คนไทยภาคอิสาน “ปลดรูปในหลวงรัชกาลที่ ๙” ออกจากข้างฝา ยังกล้าเผาห้าง เผาศาลากลางจังหวัด เรียกว่าเผาผลาญประเทศจนย่อยยับ ถูกขับไล่ด้วยข้อกล่าวหาอภิมหาคอรัปชั่นชาติ จนที่สุดหัวหน้าพรรคทั้งสองคน และเป็นอดีตนายกทั้งคู่ ต้องหนีคดีออกนอกแผ่นดินไทย 

เมื่อภาพการ “หนีคดี” เกิดขึ้นซ้ำ ๆ สะท้อนถึงความสั่นคลอน ไม่มั่นคง ภารกิจของ “เศรษฐีล้มเจ้า” ที่น่าจะไปต่อไปจึงค่อย ๆ เฟดลงตาม กลายเป็นภาพการหมอบคลาน การยอมรับความผิด ยอมกลืน “น้ำลายเน่า ๆ" จากคนปากดีที่จะนำ “การล้มเจ้า” เพื่อเปลี่ยนประเทศไทยเป็นระบอบอื่น  กลายเป็น “พรรครักสถาบัน” ขึ้นมาหน้าตาเฉย ทั้งหมดก็เพื่อจะได้ลดทอน “ความเกลียดชัง” ของสังคมคนส่วนใหญ่ที่ยังคงเชิดชูสถาบันไว้สูงสุด กลุ่มคนที่ชังเจ้าชนิดฝังหุ่น ที่เคยกาเลือก “พรรคเผาไทย” มาตลอด จึงต้องหา “พรรคล้มเจ้าพรรคใหม่” ไว้เป็นที่พึ่งทางใจ

คนป่วยเหงาเหล่านี้ “เปลี่ยนจากแดงมาสู่ส้ม” ก็ด้วยเหตุผลเดียวคือ “แอบเป็นคนที่ไม่เอาสถาบัน” แต่ไม่กล้าปริปากบอกใครตรง ๆ ใช้ชีวิตแบบ “ตีสองหน้า” ไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่ถอยห่างจาก “พรรคแดง” เพราะปัญหาเรื่องการทุจริตคอรัปชั่น หรือการหนีคดี แต่เพราะได้กลายเป็นพรรคที่ไม่แน่ใจแล้วว่า “จะล้มเจ้า” ได้จริง ๆ จึงเกิดความไม่แน่ใจ เมื่อมี “พรรคส้มสามกีบ” โผล่ขึ้นมา โฆษณาว่าเป็น “คนรุ่นใหม่” มีแผนการร้ายที่จะ “ล้มล้างการปกครอง” กล้าบ้าบิ่นด้วยเล่ห์เพทุบายโฉดชั่ว จึงโดนใจ “คนเกลียดเจ้า” ที่ผิดหวังจาก “พรรคหนีคดี” ต่างกระโจนไปสนับสนุน “พรรคสามนิ้ว” โดยไม่ดูความสามารถในเรื่องการบริหารบ้านเมืองแม้แต่น้อย 

สังเกตดี ๆ พฤติกรรมคนเหล่านี้ ไม่เคยกล้าตำหนิการทุจริตคอรัปชั่น หรือข้อเสียใด ๆ ของ “พรรคเผาเมือง” หรือ “พรรคส้มสามกีบ” ที่ตนเองสนับสนุน มักจะทำเป็นมองไม่เห็น ตราบที่ยังคงยึดแนวทางการ “ล้มล้างการปกครอง” ให้เห็นดังเดิม เพราะแค่นี้ก็เพียงพอสำหรับเหล่า “คนแอบเกลียดเจ้า” ที่แอบซุกตัวใช้ชีวิตอยู่ในสังคมไทยแล้ว

คนไทยที่แอบเกลียดชังสถาบัน และคอยมองหาพรรคการเมืองที่คอยดูหมิ่น จาบจ้วง กัดเซาะ ล้มล้างการปกครอง เพื่อที่จะสนับสนุน ถือเป็นคนไทยที่เป็น “อันตรายต่อชาติ” และต่อ “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย” ไม่ต่างจาก “พรรคการเมืองล้มล้างการปกครอง” 

‘พรรคสามนิ้ว’ มีพฤติกรรมยกเลิก 112 และคิดล้มล้างการปกครอง เห็นเจตนาชัดเจน!! ถึงการเป็น ‘พรรคการเมืองอันตราย’

(24 ก.พ. 68) พรรคการเมืองพรรคหนึ่งในสังคมไทย เที่ยวโฆษณาบอกผู้คนว่า “เป็นคนรุ่นใหม่” เข้ามาเพื่อที่จะให้ความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น จะไม่มีพฤติกรรมโกงกิน คอรัปชั่น หรือมีนิสัยเลว ๆ เหมือนที่นักการเมืองรุ่นเก่าในอดีตเคยทำไว้อย่างแน่นอน 

ใครเลือกเราเข้ามา ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม

ใช่ครับ ตั้งแต่มีพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่พรรคนี้เข้าสภามา ประเทศไทยในสายตาของผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึก “ไม่เหมือนเดิม” จริง ๆ เพราะมันแย่ลงมาก เสื่อมทรามลงอย่างเห็นได้ชัด เด็กวัยรุ่นก้าวร้าวมากขึ้น ไหว้ผู้ใหญ่ไม่เป็น มีทัศนคติในการใช้ชีวิตที่บิดเบี้ยว ไม่รู้จักบุญคุณคน ลบหลู่ดูหมิ่นครูบาอาจารย์ ใช้ชีวิตแบบแหกกฎระเบียบข้อบังคับของสังคม ถือดีว่าตัวตนนั้นจะทำสิ่งใดก็ได้แบบไร้ขอบเขต ที่สำคัญมีแนวคิดที่ชิงชังสถาบันกษัตริย์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนบนผืนแผ่นดินไทย นึกจะจาบจ้วงล่วงละเมิดก็กระทำกันตาม ๆ กันมา มีการ “ชูสามนิ้ว” เป็นสัญลักษณ์สะท้อนกลุ่มก้อนที่มีแนวคิดเดียวกัน ว่าข้านี่แหละเป็นหนึ่งในคนที่ไม่ต้องการให้มีสถาบันกษัตริย์ หรืออยากให้มีการ “ล้มล้างการปกครอง” แบบเดิม ๆ ให้หมดหายไปจากประเทศไทย

ตลอดหลายปีที่ “พรรคการเมืองสามนิ้ว” เข้ามา “กินเงินเดือน” จากภาษีของประชาชน กลับใช้เล่ห์เพทุบายหลอกใช้เด็กให้กระทำการผิดกฎหมาย 112 จำนวนมาก หลายคนต้องหนีลี้ภัยไปต่างประเทศ จำนวนไม่น้อยก็ต้องติดคุก หมดอนาคตลงนับจากนั้น

ภาพลักษณ์การเป็น “พรรคการเมืองสามนิ้ว” ที่แสดงความกลิ้งกลอก หลอกใช้เด็กให้กระทำการจาบจ้วงสถาบันแทน ถือเป็น “พรรคการเมืองที่โหดร้าย” ไร้ความจริงใจต่อเพื่อนมนุษย์ หลอกทุกคนเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเองเท่านั้น รวมทั้งยังเป็นพรรคการเมืองที่แอบดีลกับตะวันตก หวังสร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นในแผ่นดินชาติของตนเอง 

นักการเมืองภายในพรรค ยังแยกกันไปเผยเจตนา “ยกเลิก 112” ผ่านการโพสต์ข้อความ และในการชุมนุมสาธารณะนับครั้งไม่ถ้วน มีหลักฐานเป็นภาพข่าวพร้อมข้อความ และคลิปวิดีโอมากมาย เห็นชัดถึง “เจตนาร้าย” ต่อสถาบันกษัตริย์ไทย ซ้ำยังนำการยกเลิกมาตรา 112 เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง ทั้งหมดคือพฤติกรรมของ “กลุ่มคนอันตราย” ที่แฝงตัวมาในคราบนักการเมืองในสภา 

ปล่อย “พรรคสามนิ้ว” ไว้ “ประเทศไทย” จะไม่ดีเหมือนเดิม 

ต้องเป็นคนไทยแบบไหน ถึงกล้าแอบรับเงินต่างชาติ มาเผาระบบ ทำลายความมั่นคงภายในประเทศของตัวเอง

(18 ก.พ. 68) ความแตกแยกของคนในชาติ คืองานหลักของ “ทุนตะวันตก” ที่อยากเห็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์พร้อมในด้านทรัพยากรแบบไทยเรา กลายเป็นประเทศที่สามารถครอบครอง บังคับ หรือจับซ้ายหันขวาหันได้ตามอำเภอใจ แต่การจะเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ ก็ต้อง “ซื้อคนไทยกระหายเงิน” ให้ได้ก่อน แล้วใช้ “คนไทยขี้ข้าฝรั่ง” เหล่านี้ เดินเกมล้มชาติตัวเองให้สำเร็จด้วยกลวิธีสกปรกที่เตรียมไว้  

การเคลื่อนไหวผ่าน “คนไทยหัวใจคด” ที่แสดงออกถึงการไม่เอาสถาบันในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการตั้งม็อบ การแต่งกายเลียนแบบกษัตริย์ในเชิงเสียดสี ประชดประชัน หรืองานแสดงศิลปะที่เปลือยให้เห็นตรง ๆ ถึงการทำลายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ของไทย แม้จะมีมาในสังคมไทยนานกว่า 10 ปีแล้ว แต่ที่เห็น “หางโผล่” แบบชัด ๆ ก็ในวันที่ประเทศไทยมี “พรรคส้มสามกีบ” เกิดขึ้นมา

แบ่งงาน แยกกันตี กระจายกำลังกันไปเพื่อจะสั่นสะเทือนถึงระบบ ความเป็นอยู่ ความเชื่อดั้งเดิม และความภักดีของคนไทยส่วนใหญ่ที่มีต่อสถาบันกษัตริย์ไทย ช่วยกันทำทุกวิถีทางเพื่อให้ “คนไทยสมองน้อย” คล้อยตามว่าสถาบันกษัตริย์คือสิ่งที่น่ารังเกียจ เป็นอันตรายต่อชีวิตและความเป็นอยู่ ทำให้ประเทศชาติไม่เจริญ ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเรื่องโกหก ปั้นแต่งเรื่องราวขึ้นมาเพื่อต้องการให้ “ศูนย์รวมใจของคนไทยทั้งชาติ” สั่นคลอน 

อีกหนึ่งเหตุผลของ “คนไทยชังชาติตัวเอง” ก็จะชูคำพูดสวยหรูว่าที่พวกเขาทำอยู่นั้นก็เพื่อให้ประเทศไทยได้มีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ เราจึงเห็น “กลุ่มคนล้มเจ้าด้วยทุนฝรั่ง” เรียกร้องให้มีการนิรโทษกรรมคดีเกี่ยวกับ 112 ที่ผ่านมาทั้งหมด เห็นชัดว่าแนวคิดเช่นนี้เป็นอันตรายต่อสังคมไทย และบ้านเมืองเราจะไร้ความสงบสุขแบบยั่งยืน 

ทุนต่างชาติที่หวัง “ฮุบประเทศไทย” ถ้าจะทำสำเร็จได้ก็ต้อง “ล้มสถาบันกษัตริย์” ให้ได้ก่อน หรือทำให้อ่อนแอลง ก็จะง่ายที่จะทำเรื่องเลว ๆ ตามแผนในลำดับถัดไป จึงจำเป็นต้องอาศัยพรรคการเมืองที่แอบกัดเซาะสถาบันอยู่ในสภาด้วย แผนล้มเจ้าด้วยทุนฝรั่งถึงจะเรียกว่าคืบหน้า ออกอาวุธทุกที่เมื่อมีโอกาส แอ็คชั่นให้ “คนออกทุน” เห็นผลงานแบบเนื้อ ๆ ไม่เช่นนั้นท่อน้ำเลี้ยงจะหยุดไหล แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อที่ดิน ร่ำรวยอู้ฟู่ในเวลาอันรวดเร็ว 

เมื่อได้ชื่อว่าเป็น “คนไทยขี้ข้าตะวันตก” ก็ต้องเดินหน้า “ชูสามนิ้วล้มสถาบัน” ให้สุดซอย ทำครึ่ง ๆ กลาง ๆ ระวังแหล่งทุนจะรู้ทันว่าก็แค่ “รับจ้างล้มเจ้า” ไปวัน ๆ นายทุนหมดเงินเมื่อไหร่ ก็พร้อมกลับหลังหันได้ตลอดเวลา ตามประสานักการเมืองไทย 

ฝันไปเถอะคำว่า “อุดมการณ์”

เมื่อหนึ่งในผลิตผลของ ‘พรรคส้ม’ ล้มสถาบัน!! คือการเป็น สส. หื่นกาม กระทั่งข่มขืนหญิงสาวชาวต่างชาติ

(12 ก.พ. 68) ถ้าเป็นประเทศที่เจริญแล้วจริง ๆ หรือคุณภาพของนักการเมืองอยู่ในมาตรฐานที่สูงมากพอ หากถูกจับได้ว่ามีส่วนพัวพันในเรื่องละเมิดจริยธรรม คุณธรรม ทำให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงของตนเอง รวมถึงพรรคการเมืองที่สังกัด นักการเมืองผู้นั้นจะต้องขอยุติบทบาท ลาออกจากการทำหน้าที่ทันที ไม่ต้องรอให้ใครมากดดัน หรือขับไล่

แต่เรื่องดี ๆ แบบนี้คงยากจะหาได้จาก ‘นักการเมืองขี้หมา’ ของประเทศไทยเรา 

ด้วยมาตรฐานของนักการเมืองไทย เน้นไปที่ ‘สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร’ มีมาตรฐานที่ค่อนข้างต่ำ สมัยยี่สิบปีก่อนก็ไม่ได้มีมาตรฐานสูง แต่สมัยนี้กลับต่ำเตี้ยเรี่ยดิน นับได้ไม่เกิน ‘นิ้วมือรวมนิ้วตีน’ ที่จะเรียกว่าเป็น ‘สส. คุณภาพ’ เข้ามาทำงานเพื่อรับใช้ประชาชนอย่างซื่อสัตย์สุจริต มีอุดมการณ์ มีความรับผิดชอบอันแรงกล้าต่อสังคมส่วนรวม 

ส่วนใหญ่เป็นได้เพียง สส. ผู้หิวกระหายอำนาจ รวมหัวกันโกงบ้านกินเมือง ทำให้ภาพลักษณ์ของนักการเมืองไทยมีแต่ความต่ำทราม เลวร้าย ดูเป็นอาชีพที่ไร้เกียรติ เพราะอุดมไปด้วยกลุ่มคนที่มี DNA ในทางปลิ้นปล้อนเข้ามาอยู่รวมกันในสภาอันทรงเกียรติ 

ที่ชัดสุดคือ สส.จากพรรคการเมืองที่มีเป้าหมายล้มล้างการปกครอง อ้างตนเป็น ‘กลุ่มคนรุ่นใหม่’ ที่หมายจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศชาติ แต่พฤติกรรมแต่ละดอกที่ประชาชนจับได้ไล่ทันช่างเป็นสิ่งที่น่าอเนจอนาถใจ ตั้งแต่การแอบอ้างผลงานของคนอื่นเป็นผลงานของตัวเอง สร้างเรื่องโกหกรายวันให้ตนเองดูดี หนีการเกณฑ์ทหาร และพัวพันคดี 112 อีกไม่น้อย ยังมีคดีละเมิดทางเพศ ข่มขืนสาวชาวต่างชาติ ทำให้ภาพลักษณ์ของนักการเมืองไทยหมดคุณค่าลงสิ้น 

สส. หื่นกาม มีพฤติกรรมชั่ว ทำผิดในเรื่องซ้ำ ๆ รายหนึ่ง เป็นผลผลิตที่น่าภาคภูมิใจของพรรคการเมืองที่เข้ามาเพื่อล้มล้างสถาบัน จึงยากที่จะเห็นนักการเมืองในพรรคนี้ก่นด่าให้เราได้ยิน ต่างพากันเงียบกริบ หันไปสายลมแสงแดดแทน 

คำกล่าวที่ว่า สส. โง่และชั่วในระดับใด ก็ให้ดูพรรคการเมืองที่สร้างจนมีตัวตน รวมถึงกลุ่มคนที่กาเลือกเข้ามา เพราะจะมีคุณสมบัติที่ไม่ต่างกัน

ผลเลือกตั้ง นายกอบจ.ลำพูน เมื่อลูกลำไยกลายเป็นมีเปลือกส้ม รสชาติออกเปรี้ยวนำ ความหวานหอมแต่ดั้งเดิมกำลังจะเลือนหาย

(4 ก.พ. 68) เป็นที่แน่นอนแล้วว่าทุกจังหวัดในประเทศไทย “พรรคส้มล้มสถาบัน” ไม่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เลย ยกเว้นจังหวัด ลำพูน เพียงจังหวัดเดียว ย่อมสะท้อนให้เห็นแนวคิด และมาตรฐานของผู้คนในพื้นที่ได้หลากหลายมิติ 

ส่วนใหญ่ที่สุด คนลำพูนเบื่อหน่ายนายก อบจ. คนเก่า ซึ่งเป็นคนของ “พรรคโกงจำนำข้าว” ซึ่งเป็นคนใหญ่โตในพื้นที่ เก๋าเกมกางปีกคลุมเมืองลำพูนมาช้านาน แต่กลับไร้การพัฒนาตามความรู้สึกนึกคิดของ “คนรุ่นใหม่” เมื่อตัวแทนผู้สมัครจาก “พรรคส้มล้มเจ้า” โชว์วิสัยทัศน์และนโยบายที่ตรงใจ มีความหวังว่าจะเกิดขึ้นจริงในจังหวัดลำพูนได้ จึงคว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง ได้เป็นนายก อบจ. ของจังหวัดลำพูนคนใหม่ทันที

ประชาชนหลายจังหวัด แม้จะเบื่อนายก อบจ. คนเก่าของจังหวัดตัวเอง แต่ก็ตื่นรู้เรื่องแนวคิด “ล้มสถาบัน” ของพรรคประชาชน ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อประเทศชาติ ไม่อาจหาญไปกาเลือกผู้สมัครของ “พรรคล้มสถาบัน” ให้เข้ามาเจาะเปลี่ยนความคิดของผู้คนให้ชิงชังกษัตริย์ตาม “นโยบายล้มเจ้า” ที่ฝังลึกอยู่ใน DNA ของพรรคส้ม ถ้าไม่กาช่อง “โหวตโน” ก็จะเลือกจะให้โอกาสคนจากพรรคใดก็ได้ที่ไม่มีแนวคิดล้มล้างการปกครองอย่างที่รู้สึกกัน 

เพราะตกผลึกแล้วว่า “ได้ย่อมไม่คุ้มกับเสีย” แค่การเบื่อคนเก่า แต่กาเลือกคนที่มีแนวคิดล้มสถาบันให้เข้ามาดูแลจัดการจังหวัดบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง อนาคตอาจจะพังพินาศยิ่งกว่า

การเมืองท้องถิ่นย่อมใกล้ชิดประชาชนในพื้นที่ การจะปลุกระดม เปลี่ยนแปลง สร้างความเชื่อมั่น และปลุกปั่นความนึกคิดของผู้คนให้คล้อยตาม โดยแลกด้วยผลประโยชน์ที่จับต้องได้ ก็สามารถหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันได้ไม่ยาก ไม่นานก็จะกลายเป็น “ลำพูนส้ม” ที่ลำไยทุกลูกเมื่อลิ้มรสชาติก็จะออกเปรี้ยวนำ หวานแต่ดั้งแต่เดิมกำลังจะหมดหายไป กลายเป็น “ลำไยเปลือกส้ม” แทน

ผมไม่บังอาจฟันธงว่าท่านนายก อบจ. คนใหม่จาก “พรรคส้มล้มเจ้า” เป็นคนไม่เก่ง ไม่มีความรู้ ไม่เจนจัดเรื่องการบริหาร หรือจะเป็นคนที่ไม่สามารถพัฒนา “เมืองลำไย” ได้สำเร็จ ท่านอาจจะทำได้ดี และทำให้ผู้คนชื่นชมมากกว่านายก อบจ. คนก่อนจาก “พรรคนายกหนีคดี” แต่เรื่องแนวคิดการไม่เอาสถาบันผ่านอำนาจที่ท่านมี ยังไง “พรรคล้มเจ้าของท่าน” ก็ต้องวางแผนออกอาวุธอย่างเป็นระบบ 

อย่าลืมว่าพรรคส้มเกิดมาเป้าหลักก็เพื่อล้มสถาบัน อย่างอื่นน่ะเป็นได้แค่เครื่องมือ

ศิลปินนักร้อง จำพวกเกลียด 112 จ้องล้มเจ้า ถึงคราวตัวเองฟ้องหมิ่นทันที - แถมใช้เพลงพระราชนิพนธ์หากิน

(28 ม.ค. 68) ข่าวโด่งดังในสังคมไทยเมื่อสัปดาห์ก่อน คงหนีไม่พ้นประเด็นศิลปินนักร้องชายชื่อดัง “แอบคบชู้” จนนำไปสู่การฟ้องร้อง และถึงแม้ฝ่ายถูกฟ้องจะยอมความพร้อมชดใช้ค่าเสียหายในที่สุด แต่เรื่องราวเชิงลึกกลับไม่จบลงแค่นั้น เพราะมีประเด็น 112 โผล่ขึ้นมากลาง “สนามรักสนามแค้น” 

สำหรับสังคมไทย คนเป็นศิลปินนักร้องที่มีชื่อเสียง แค่ถูกจับได้ว่า “นอกใจภรรยา” ก็สร้างความมัวหมองให้กับอาชีพของตนเองได้แล้ว แต่หากสืบพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการดูหมิ่น เหยียดหยาม หรือมีแนวคิด “ล้มล้างสถาบัน” ก็ย่อมจะถูกสังคมไทยต่อต้าน ก่นด่า และเลิกติดตามสนับสนุน ชีวิตอาจจะดับมืดลงทันทีถ้าชื่อเสียงและบารมีไม่แข็งแรงพอ ด้วยสถาบันกษัตริย์ยังคงเป็นศูนย์รวมใจคนไทยทั้งชาติ สมควรต้องปกปักรักษาเอาไว้ 

หากมองย้อนกลับไปในอดีต เราจะเห็นว่าศิลปินนักร้องไทยยุคสมัยก่อน จะรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์เหนืออื่นใด จึงไม่ค่อยมีประเด็นที่ศิลปินนักร้องเข้าไปเฉียดใกล้คดี 112 ให้ภาพลักษณ์และชื่อเสียงของตัวเองต้องมีตำหนิ ซึ่งผิดกับศิลปินนักร้องจำนวนไม่น้อยในยุคสมัยนี้ นอกจากจะไม่จงรักภักดี ไม่คิดว่าการที่ประเทศไทยอยู่อย่างมั่นคงมาได้ยาวนานส่วนสำคัญก็เพราะเรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ ยังไปสนับสนุนพรรคการเมืองที่มีแนวคิดล้มล้างสถาบัน หรือไม่ก็แอบติฉินนินทาด้วยภาษาหยาบ ๆ คาย ๆ ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ จนบางคนเข้าข่ายผิด 112 

สังคมไทยเรียกขาน “ศิลปินนักร้องล้มเจ้า” เหล่านี้ว่า “นักร้องสามกีบ” มีพฤติกรรมเด่นคือ ชอบแอบด่า แอบกัดเซาะ แสดงตนดูหมิ่นสถาบัน แต่พอจะถูกดำเนินคดีในมาตรา 112 ซึ่งเป็นคดีหมิ่นประมาทที่มีไว้ปกป้องพระมหากษัตริย์ ก็เที่ยวโห่ร้องตะโกนว่า 112 เป็นภัยต่อสังคม เป็นคดีทางการเมือง ถูกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองใช้มาตรานี้มารังแกตนเอง 

ทางกลับกัน พอถูกใครมาดูหมิ่น เหยียดหยาม ก่นด่า หรือใส่ร้ายตนเองบ้าง ก็เที่ยวไปฟ้องร้องดำเนินคดีคน ๆ นั้นในข้อหา “หมิ่นประมาท” ทันที พฤติกรรมเช่นนี้จึงดูย้อนแย้ง เอาแต่ได้ และเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจที่สุด ยังไม่นับที่นักร้องบางคนออกตัวว่า “เกลียดเจ้า” แต่กลับนำ “บทเพลงพระราชนิพนธ์” ไปร้องเพื่อทำมาหากิน เจอนักร้องแบบนี้ที่ไหน อย่าไปสนับสนุนให้เสียเวลาชีวิตเลย 

มันเป็นได้แค่ “ขี้กากมนุษย์” ไร้หลักการ ไร้อุดมคติ ไร้ความนับถือใด ๆ แม้แต่ตัวเอง 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top